Reblog มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์กกับสุนทรพจน์ในงานรับปริญญาของฮาวเวิร์ด อีกหนึ่งสุนทรพจน์ที่ดีที่สุด..

มาร์คเริ่มต้นด้วยการบอกว่า “เหตุที่เรามาพบกันในวันนี้เพราะคุณทำในสิ่งที่ผมไม่เคยทำ นั่นคือ เรียนจบฮาวเวิร์ด..”
“และถ้าวันนี้ผมพูดสุนทรพจน์นี้จบ นั่นหมายความว่าผมได้ทำอะไรบางอย่างสำเร็จจริง ๆ ที่นี่เป็นครั้งแรก”
สิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจมากตลอดเวลาของการพูด คือภาพภรรยาของมาร์ค ซึ่งนั่งเปียกอยู่กลางสายฝนที่ตกพร่ำในวันนั้น มันบ่งบอกให้รู้ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรือแม้แต่เป็นภรรยาของบุคคลระดับพันล้าน คุณก็ต้องนั่งตากฝนเปียกเหมือนกัน
มาร์คเองยังพูดถึงครั้งแรกที่ได้พบภรรยาของเค้า พริสซิลลา ชาน ในงานปาร์ตี้ที่เพื่อน ๆ จัดให้เพราะคิดว่าเค้าจะต้องโดนไล่ออกจากมหาวิทยาลัยแน่ ๆ และในปาร์ตี้นั้น มาร์คได้พบกับสิ่งที่ดีที่สุดในการมาเรียนที่ฮาวเวิร์ด.. คืนนั้นมาร์คบอกว่า “ผมจะอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ได้อีกไม่นาน ดังนั้นรีบมาเดทกับผมเถอะ!!”
อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของสุนทรพจน์ครั้งนี้คือคำว่า “Purpose” หรือเป้าหมาย..มาร์คเล่าเรื่องที่เค้าประทับใจเรื่องหนึ่งของประธานาธิปดี John F Kennedy ขณะไปที่ NASA Space Center .. JFK พบกับคนทำความสะอาดพื้นคนหนึ่งแล้วถามว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ ชายคนนั้นตอบประธานาธิปดีกว่า “ผมกำลังร่วมส่งคนไปดวงจันทร์”
เป้าหมายต้องใหญ่กว่าตัวของเรา เป็นสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ และเป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องทำงานต่อไป.. เพราะเป้าหมายจะเป็นตัวสร้างความสุขที่แท้จริง
Purpose is that sense that we are part of something bigger than ourselves, that we are needed, that we have something better ahead to work for. Purpose is what creates true happiness.
พวกเรากำลังเรียนจบออกมาในช่วงเวลาที่สำคัญมาก ๆ ด้วยความที่หุ่นยนต์กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง หลายคนกำลังตกงาน หลายคนต้องเปลี่ยนแปลง หลายคนเครียด มีความกดดัน
สิ่งที่เราต้องทำคือการทำให้สังคมของเราเดินทางไปข้างหน้า ซึ่งนั่นไม่ใช่การสร้างงานเพิ่ม แต่เป็นการสร้างเป้าหมายใหม่ ๆ ให้กับผู้คนในสังคม
มาร์คจำได้ว่า ในช่วงเรียนเค้าเคยบอกกับเพื่อนว่าเค้าตื่นเต้นมากที่จะได้ connect คนในฮาวเวิร์ด แล้ววันหนึ่งคงมีคนมาเชื่อมต่อคนทั้งโลกได้..
สิ่งที่เค้าไม่เคยรู้เลยก็คือ “คนอื่น” ที่ว่านั้นอาจจะเป็นเรา
บางครั้งเรามักจะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงโลกเป็นเรื่องที่ต้องมีคนทำซักคนหนึ่ง คนที่เจ๋งกว่าเรา เก่งกว่าเรา แต่ความจริงไม่มีใครทำหรอก ต้องเป็นเรานั่นแหละ
อย่างไรก็ตาม การสร้างเป้าหมายให้ตัวเองนั้นยังไม่พอ.. เราจำเป็นต้องสร้างเป้าหมายที่ดีพอสำหรับผู้อื่นด้วย
มาร์คพูดถึง 3 วิธีในการสร้างเป้าหมายให้กับทุกคนบนโลก
หนึ่งคือการทำโครงการใหญ่ ๆ ที่สำคัญร่วมกัน
สองคือ สร้างความเท่าเทียมกัน เพื่อทำให้ทุกคนมีอิสระในการมุ่งสู่เป้าหมายได้เหมือนกัน
สามคือการสร้างชุมชนของทุกคนบนโลก

ข้อแรก.. การทำโครงการใหญ่ ๆ ที่สำคัญร่วมกัน

ทุก ๆ ช่วงเวลาจะมีคนรวมตัวกันสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้น มีคนกว่า 3แสนคนที่พยายามพานักบินขึ้นบนดวงจันทร์รวมถึงคนถูพื้นคนนั้นด้วย มีคนสร้างเขื่อนขนาดยักษ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย และตอนนี้ก็ถึงเวลาของเราแล้ว..
ใช่.. คุณอาจจะคิดว่า “ฉันจะไปรวมคนจำนวนมากมาทำอะไรยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?”
มาร์คพูดว่า “งั้นผมขอบอกความลับอะไรบางอย่าง..”
“ไม่มีใครรู้ตั้งแต่เริ่มต้นหรอก.. ไอเดียมันไม่ได้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนจนกว่าคุณจะได้ทำมัน.. คุณแค่ต้องเริ่มต้นเท่านั้น”
No one does when they begin. Ideas don’t come out fully formed. They only become clear as you work on them. You just have to get started.
เพราะถ้าผมต้องรู้เรื่องการเชื่อมต่อผู้คน รู้เรื่องการ connect people ให้ได้อย่างถ่อแท้ก่อน ผมคงไม่ได้เริ่มทำ Facebook
อย่างไรก็ตามการทำเรื่องอะไรใหญ่ ๆ หรือการมีมุมมองที่ไม่เหมือนใครมันก็ไม่ได้ง่ายซะทีเดียว บางคนอาจจะหาว่าคุณบ้าแม้ว่าสุดท้ายคุณจะทำถูก บางคนอาจจะบอกว่าคุณเริ่มเร็วไปเพราะมันมักจะมีคนคอยฉุดให้คนช้าลงอยู่ตลอดเวลา
Anyone taking initiative will get criticized for moving too fast, because there’s always someone who wants to slow you down.
หลายคนมักไม่คิดจะเริ่มทำอะไรใหญ่ ๆ เพราะว่ากลัวที่จะพลาด มันไม่แปลกหรอกที่จะมีความผิดพลาด แต่นั่นต้องไม่ทำให้เราหยุดความคิดที่จะเริ่ม

ข้อสอง.. สร้างความเท่าเทียมกัน เพื่อทำให้ทุกคนมีอิสระในการมุ่งสู่เป้าหมายได้เหมือนกัน

มาร์คบอกว่าตัวเค้าเองก็ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการทำ facebook เป็นอย่างแรก เค้าเคยทำเกมมาก่อน เคยทำระบบ chat และอื่น ๆ อีกมากมาย คนอื่นก็เช่นกัน JK Rowling ก็เคยโดนปฎิเสธถึง 12 ครั้งก่อนที่จะเป็น Harry Potter หรือแม้แต่ Beyonce ก็ต้องแต่งเพลงเป็นร้อยเพลงกว่าจะได้เพลง Halo
คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนได้รับโอกาสที่จะผิดพลาด
มาร์คชี้ให้เห็นว่า คนบนโลกนี้มีสิทธิ์ไม่เท่าเทียมกันเพราะความแตกต่างด้านการเงิน ขณะที่ตัวเขาเองออกจากการเรียนแล้วสามารถทำเงินได้เป็นพันล้าน ขณะที่นักเรียนบางคนยังไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าเรียนของตัวเอง
มาร์คบอกว่า เค้าเจอกับเจ้าของกิจการมาแล้วหลายคนทั่วโลก ไม่มีใครกลัวว่าว่าจะทำเงินได้เท่าไหร่ตั้งแต่วันแรก แต่ความกลัวว่าจะผิดพลาดแล้วไม่มีใครคอยเป็น backup ให้ ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ เป็นเหตุผลที่พวกเค้าไม่กล้าเริ่ม
เราไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะแค่มีไอเดียดี หรือขยันทำงาน แต่มันก็เกี่ยวกับโชคชะตาด้วย.. ถ้าเค้าต้องคอยเลี้ยงดูครอบครัวแทนที่จะได้นั่งเขียน code อย่างเต็มที่ facebook ก็คงไม่เกิดขึ้นแน่ ๆ ดังนั้นคงต้องยอมรับว่าเราเป็นกลุ่มคนที่มีความโชคดีในระดับหนึ่ง
การให้โอกาสกับคนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเงิน การศึกษา ต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสของพวกเค้าในการวิ่งเข้าสู่เป้าหมายได้ ตัวเค้าเองก็เคยได้ไปช่วยเหลือคนอื่นด้วยการสอนหนังสือให้ความรู้ให้กับคนด้อยโอกาส คนในยุคนี้เป็นกลุ่มคนที่บริจาคเงินมากที่สุดแล้ว คำถามไม่ใช่ว่าเรายินดีที่จะทำหรือไม่ แต่คำถามคือเราจะทำ “เมื่อไหร่” มากกว่า
และเมื่อพวกเค้ามีโอกาสที่จะสร้างสิ่งใหม่ได้ สุดท้ายพวกเราทุกคนก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้เช่นกัน

นอกจากนี้เป้าหมายยังไม่ได้มาจากงานเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการสร้างชุมชน ชุมชนที่ทุกคนบนโลกอยู่ร่วมกัน

หมดยุคแล้วที่เราจะแบ่งแยกว่าคุณมาจากประเทศไหน คุณเป็นชนชาติอะไร เพราะเราทุกคนต่างเป็น “Citizen of the World”
เมื่อทุกคนอยู่ร่วมกัน เราก็จะสามารถสร้างสิ่งต่าง ๆ ร่วมกันได้ ช่วยเหลือกันได้โดยไม่ต้องแบ่งว่าประเทศไหนจะเริ่มก่อน ใครจะเป็นคนทำเพราะทุกคนทำร่วมกันทั้งหมด และเราสามารถเริ่มสร้างชุมชมเล็ก ๆ กันได้ตั้งแต่วันนี้
Change starts local. Even global changes start small
****
(อ่านทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษได้ที่นี่ http://time.com/4795031/mark-zuckerberg-facebook-harvard-commencement-transcript/)

คัดลอกจาก https://medium.com/gengsittipong/markzuckerburg-harvard-5a3cab50c760
และดูคลิปเต็มได้ที่นี่: https://youtu.be/BmYv8XGl-YU

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เทพธิดาผ้าซิ่น - เนื้อเพลง

ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ วันดี วันเหมาะสม

เส้นทาง Offroad ในเชียงใหม่ ฉบับยำ ๆ